ปูชนียบุคคลสำคัญท่านหนึ่งที่ต้องการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ศิลปะสมัยใหม่ของไทยคือจ่างแซ่ตั้งศิลปินและกวีผู้ใช้ชีวิตแบบสมถะ เรียบง่ายแต่ผลงานสร้างสรรค์ทางด้านศิลปะของท่านเป็นพลังสำคัญที่ ทำให้วิวัฒนาการทางด้านศิลปะสมัยใหม่ของไทยมีความเป็นเอกลักษณ์ พิเศษแตกต่างไปจากชาติอื่นๆในแถบภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ ถึงแม้ว่าจ่างจะศึกษาศิลปะและฝึกฝนด้วยตนเองมาโดยตลอดก็ตาม แต่ทัศนคติในการทำงานของท่านนั้นมีสาระสำคัญต่อวงการศึกษาศิลปะ อย่างมาก..ท่านได้เคยกล่าวว่าการเขียนรูปหรือการทำงานศิลปะนั้นสื่อ สำคัญอยู่ที่การริเริ่มสร้างสรรค์ด้วยปัญญาและสมองของเราคำกล่าวนี้ ทำให้นึกถึงหลักธรรมที่สามารถนำมาใช้ประยุกต์กับการปฏิบัติงานศิลปะ ได้เช่นกัน.นั่นคือการสร้างด้ายสติสัมปชัญญะและการสร้างด้วยปัญญา ซึ่งในความเป็นจริงนั้นผู้ใกล้ชิดกับจ่างหลายท่านได้เล่าให้ฟังว่าการทำงาน ศิลปะของจ่างเป็นการเจริญธรรมอย่างหนึ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง ทศวรรษ๒๔๙๐และ๒๕๐๐ผลงานที่ผลิตขึ้นส่วนใหญ่มีลักษณะเป็น นามธรรม ..........งานศิลปะแนวนามธรรมของจ่างในช่วงระยะเวลาดังกล่าวมีการ แสดงออกซึ่งพลังแห่งความรู้สึกและจิตวิญญาณที่สมบูรณ์ที่สุดและอาจ กล่าวได้ว่าในช่วงเวลานี้จ่างเป็นศิลปินไทยคนเดียวที่เขียนภาพแนว นามธรรมโดยมีรากฐานที่มาจากรากเหง้าทางด้านวัฒนธรรมของจีนซึ่งเป็น วัฒนธรรมเก่าแก่ดั้งเดิมของบรรพบุรุษและครอบครัวของเขาจ่างมีความ สนใจในธรรมชาติปรัชญาจีนและบทกวีนอกจากนี้การทำงานของเขายังมี ความสัมพันธ์กับพุทธศาสนาลัทธิเซ็นและลัทธิเต๋าจากการได้พูดคุยกับ สมาชิกในครอบครัวของจ่างทำให้ทราบว่าการทำสมาธิก่อนที่จะลงมือเขียน ภาพนั้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับศิลปินท่านนี้มากดังนั้นพลังในการทำงานของ จ่างจะเห็นได้จากการใช้ฝีแปรงลากเป็นเส้นที่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเสรี การตวัดเส้นหรือการลากเส้นนั้นเป็นไปอย่างฉับพลันคล่องแคล่วเป็นการ รวมใจและมือให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันศิลปะการเขียนอักษรจีนก็เป็นอีก ส่วนหนึ่งที่ให้ความบันดาลใจแก่การทำงานของจ่างภาพเขียนในแนว นามธรรมที่ปรากฏไม่เพียงแต่จะเผยให้เห็นถึงความรู้สึกอันล้ำลึกเท่านั้น แต่ยังเป็นเสมือนภาษาสากลที่สามารถสื่อให้เข้าใจได้จากการใช้เส้นรูปทรง และสีที่มีทั้งพลังอันแรงกล้าผสมผสานกับความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน ส่วนภาพเหมือนของจ่างซึ่งเขียนขึ้นตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๔๙๗จนกระทั่ง ถึงปีพ.ศ.๒๕๓๐เป็นเสมือนการบันทึกชีวิตภาวะอารมณ์ความรู้สึกในช่วง เวลาต่างกันภาวะของความยากลำบากในการดำรงชีวิตของจ่างเป็นภาวะ ที่เต็มไปด้วยความกดดันอันเป็นสาเหตุของการนำมาสู่การทำงานที่ดูรุนแรง และเต็มไปด้วยพลังความรู้สึกเราสามารถสัมผัสกับชีวิตได้จากการอ่าน ความรู้สึกที่แฝงอยู่บนใบหน้าแววตาของศิลปิน..การใช้สีน้ำหนักแสงเงา และฝีแปรงทำให้ภาพมีทั้งความน่ากลัวความลึกลับความทรนงความหนักแน่น ความสิ้นหวังความมั่นใจความท้อแท้ความหวาดระแวงความสุขความทุกข์ ความผ่อนคลายและความสนุกสนานคละเคล้ากันอย่างหลากหลายและ มีรสชาติ..ภาพเหมือนของจ่างสะท้อนภาพชีวิตทั้งในแง่บวกและแง่ลบ เสมือนไฟชีวิตที่มีความสว่างเจิดจ้าร้อนแรงและความมืดมนอันเป็น ความหม่นหมองและความทุกข์ที่แท้จริง ..........ภาพเหมือนของจ่างทั้งหมดทำให้ผู้เขียนต้องหยุดคิดพิจารณาถึง สภาวะชีวิตมนุษย์แก่นสารและสาระสำคัญของชีวิตที่แท้จริงนั้นคืออะไร ภาพเหมือนของจ่างเป็นเสมือนสัญลักษณ์ที่แสดงสัจธรรมของชีวิตซึ่งมี ความชัดเจนและความสมบูรณ์ภาพเหมือนเหล่านั้นมีความหลากหลายใน เทคนิคและรูปแบบที่เหมือนจริงรูปแบบที่เป็นกึ่งนามธรรมและนามธรรม เมื่อกล่าวถึงเทคนิคจะเห็นได้ว่ามีการใช้วัสดุที่สอดคล้องกับเทคนิคไม่ว่า จะเป็นการปาดป้ายสีการแต้มจุดหรือการขีดเส้นเพียงแผ่วเบาบนพื้นที่ว่าง ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงจังหวะของอารมณ์ความรู้สึกตลอดจนจิตวิญญาณ ของศิลปินซึ่งมีผลกระทบทางด้านจิตวิญญาณอย่างสูงภาพเหมือนทั้งหมด ของจ่างเมื่อนำมาจัดวางเรียงรายต่อเนื่องกันนั้นเปรียบเสมือนการตั้ง คำถามที่ว่า “ฉันคือใคร”เป็นคำถามที่ท้าทายให้ผู้ดูต้องถามตนเองและพิจารณา ถึงความเป็นอัตตลักษณ์เป็นคำถามในเชิงปริศนาซึ่งศิลปินไม่ต้องการคำตอบ แต่ผู้ดูเท่านั้นที่ต้องคิดและตอบตนเองในระหว่างปีพ.ศ.๒๕๓๘และ๒๕๓๙นั้น ศูนย์เอเชียมูลนิธิญี่ปุ่นในกรุงโตเกียวได้จัดนิทรรศการศิลปะสมัยใหม่ของประเทศ แถบเอเชียชื่อ AsianModernismขึ้น..ผู้จัดได้นำศิลปะแนวนามธรรมรวมทั้ง ภาพเหมือนของตนเองของจ่างไปแสดงพร้องกับงานของศิลปะไทยชั้นบรมครูท่านอื่นๆ ณประเทศญี่ปุ่นอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์จากการวิเคราะห์เปรียบเทียบวิวัฒนาการ ทางด้านศิลปะแนวนามธรรมในประเทศของกลุ่มอาเซี่ยนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในอินโดนีเซียฟิลิปปินส์และประเทศไทยนั้นจะเห็นได้ว่าอิทธิพลของศิลปะแนวนามธรรม จากยุโรปและอเมริกาเช่นศิลปะแนวแอ็บสแตรคเอ็กซเพรสชั่นนิสม์ (Abstract Expressionism)ได้เข้ามามีบทบาทและมีอิทธิพลต่อวิวัฒนาการของศิลปะสมัยใหม่ ในประเทศดังกล่าวมากในช่วงของทศวรรษ๒๕๐๐และ๒๕๑๐แต่ในกรณีของไทยนั้น ในขณะที่กระแสอิทธิพลของตะวันตกกำลังมาแรงจ่างสร้างสรรค์ศิลปแนวนามธรรมโดยมิได้ รับอิทธิพลทางความคิดหรือแบบอย่างของตะวันตกแต่ประการใดตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ว่ารูปแบบของศิลปะแนวนามธรรมของจ่างได้ความบันดาลใจและมีที่มาจากรากฐาน ทางวัฒนธรรมของจีนซึ่งมีความผูกพันอย่างใกล้ชิดกับชีวิตและการทำงานของศิลปิน ภาพเขียนแนวนามธรรมของจ่างมักมีขนาดใหญ่สีที่ใช้ก็จะเป็นเพียงสีขาวดำ และมีความหนายากต่อการเก็บรักษา..บางครั้งท่านเขียนภาพโดยใช้สีขาวบน พื้นขาวและมีสีดำบนพื้นดำ.ฝีแปรงที่บดขยี้หรือป้ายตวัดบนผืนผ้าใบมีการใช้จังหวะอารมณ์ ความรู้สึกและแม้กระทั่งพื้นที่อันว่างเปล่าที่ปรากฏในงานสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิญญาณ ของความเป็นตะวันออกอย่างชัดเจน ..........ในขณะที่จ่างยังมีชีวิตอยู่นั้นแม้ว่าการสร้างสรรค์ศิลปะของเขาจะ ไม่เป็นที่ยอมรับของคนบางกลุ่มแต่การไม่ยอมรับมิได้เป็นผลเสีย แต่ประการใดในทางตรงกันข้ามเมื่อกาลเวลาผ่านไปการทำงาน ซึ่งเป็นลักษณะทวนกระแสของศิลปะซึ่งเป็นที่นิยมในขณะนั้นกลับ เป็นตัวที่บ่งบอกให้เห็นถึงความเป็นเอกลักษณ์ความเป็นตัวตนที่แท้จริง ของศิลปะและความเป็นต้นฉบับของศิลปะงานนามธรรมของจ่างมีคุณค่า ทางประวัติศาสตร์ศิลปะของไทยและของเอเซียอาคเนย์ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา และต้องสงวนรักษาไว้เป็นอย่างดีเพื่อชนรุ่นหลังจะได้มีโอกาสชื่นชมต่อไป เมื่อย้อนกลับมาดูงานภาพเหมือนของจ่างอีกครั้ง..จะเห็นได้ว่าการเขียน ภาพของท่านจะมีลักษณะของการทำงานที่เป็นแบบไม่ย่ำอยู่กับที่..มีการ ใช้รูปแบบและเทคนิคเปลี่ยนกลับไปกลับมาโดยตลอด..จ่างจะไม่ยึดมั่นอยู่ กับรูปแบบวิธีการหรือรูปทรงภายนอกที่ปรากฏ..คุณสมบัติที่แท้จริงของ ศิลปินย่อมจะไม่ยึดติดอยู่กับสิ่งดังกล่าวซึ่งมักจะเป็นตัวก่อให้เกิดอุปสรรค ในการสร้างสรรค์เพราะเหตุว่าศิลปินไม่สามารถหลีกเลี่ยงกฏเกณฑ์เหล่านั้น ทำให้ขาดซึ่งอิสรภาพและเป็นหนทางที่ปิดกั้นมิให้ศิลปินได้เข้าถึงสัจธรรม ของชีวิต..ดังนั้นการลากเส้นหรือการตวัดพู่กันในแต่ละครั้งของจ่างจะแฝงไว้ ด้วยพลังความมั่นคงเป็นไปอย่างรวดเร็วและเด็ดขาดเป็นการถ่ายทอดภาวะ ของจิตที่บริสุทธิ์ในช่วงขณะปฏิบัติงานหลุดพ้นจากพันธนาการใดๆทั้งสิ้น จ่างใช้จิตวิญญาณของตนเข้าสัมผัสกับธรรมชาติและสิ่งต่างๆที่เขียน หลักการสำคัญของศิลปินท่านนี้อีกประการหนึ่งคือการถ่ายทอดวิญญาณของ สิ่งที่เขียนส่วนสิ่งที่ไม่อาจจะมองข้ามไปได้นั้นคือการใช้ฝีแปรง..ทีพูกัน และการจุดด้วยปากกาหรือดินสอมักจะประสานกลมกลืนไปกับการเคลื่อนไหว เปรียบเสมือนชีวิตที่ต้องดำเนินไปในกรณีของจ่างนั้นเทคนิคในการเขียนภาพ หรือความงามที่ปรากฏมิใช่สิ่งสำคัญที่สุดจิตใจต่างหากเป็นเรื่องที่แสดงความเป็น สัจจธรรมโดยตรง...นอกจากนี้บทกวีของจ่างบางบทมีการใช้ภาษาซึ่งเป็นคำง่ายๆ ในลักษณะซ้ำๆกันหากนำบทกวีเหล่านั้นมาเปรียบเทียบกับศิลปะแนวคอนเซพฌวล ในปัจจุบันภาษาที่ใช้จะเป็นสื่อกระตุ้นและนำให้ผู้อ่านเกิดความคิดและเกิดมโนภาพ ได้เช่นกัน...จากการศึกษาดูงานของจ่างทำให้เกิดคำถามขึ้นในใจในแง่ที่ว่าความเป็น ศิลปินนั้นขึ้นอยู่กับอะไร..แน่นอนคงมิใช่สถาบันหรือค่านิยมตามกระแสของศิลปะ หรือการยอมรับของสังคมในช่วงขณะหนึ่งขณะใดแต่ด้วยจิตวิญญาณของความเป็น ศิลปินอย่างแท้จริงเท่านั้นที่อยู่เหนือขอบเขตมิติของกาลเวลาสถานที่หรือกฎเกณฑ์ใดๆ ทั้งสิ้น.ผลงานสร้างสรรค์ของจ่างเกิดจากความรักความศรัทธาตลอดจนการรู้คุณค่า ของศิลปะ..ดังนั้นความเป็นศิลปินของจ่างจึงเป็นที่ประจักษ์และผลงานของท่านยังเป็น คุณูปการต่อการศึกษาทางด้านศิลปะและวงการศิลปกรรมร่วมสมัยของไทยต่อไป อีกนานเท่านาน ผ.ศ.สมพรรอดบุญ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีนาคม...๒๕๔๓ |