.............ในช่วงเวลา 19ปีก่อนเสียชีวิต (พ.ศ. 2512-2531) จ่างแซ่ตั้งได้เขียนภาพเหมือนตัวเอง (Self Portrait)ด้วยเทคนิค สีน้ำมันสีน้ำสีโปสเตอร์และเส้นปากกาชนิดต่างๆจำนวน ไม่น้อยกว่าร้อยภาพภาพเขียนเหล่านี้เป็นตัวแทนอารมณ์และ ความรู้สึกต่างๆที่จ่างมีต่อสังคมและสภาพสิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่ รอบตัวภาวะจิตใจที่ถูกกดดันความเจ็บปวดเศร้าหมองความ รันทดและความขมขื่นปรากฏอยู่ในภาพเหมือนของเขาเกือบ ทุกภาพการวาดภาพเหมือนของจ่างเป็นเสมือนการเดินทาง สู่โลกเร้นลับโลกส่วนตัวอันแสนโดดเดี่ยวเพื่อบอกเล่า เรื่องราวให้ผู้อื่นได้รับรู้โดยสำแดงผ่านภาษาทางทัศนศิลป์ ที่ลึกซึ้งแฝงไว้ด้วยคุณค่าที่น่าศึกษายิ่ง จ่างกล่าวถึงงานของเขาว่า ............“แรงบันดาลใจ…มันเกิดจากหลายๆด้านแต่ที่ชัดที่สุด คือคำถามที่ว่า .ตัวเองมีชีวิตทำไมอยู่ทำไม อยู่เพื่ออะไร สร้างสรรค์อะไรได้บ้าง…” .............จ่างใช้เวลาทั้งหมดของชีวิตในการสร้างสรรค์งานศิลปะ และบทกวีอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเสมือนจะรู้ว่าเวลาของตนนั้น มีน้อยกว่าคนอื่นผลงานจิตรกรรมนับพันชิ้นและหนังสือไม่ต่ำกว่า 30เล่ม (ตีพิมพ์ไปแล้ว 16เล่ม )กับอายุขัย 55ปีของเขาเป็นเครื่อง บ่งชี้ให้เห็นว่าเขาใช้เวลาของเขาอย่างมีค่ายิ่งมิได้สิ้นเปลืองไปกับ ความสำมะเลเทเมางานสังคมหน้าไหว้หลังหลอกเกียรติยศ ชื่อเสียงอันเป็นภาพลวงหรือทรัพย์สินเงินทองที่หลายคนต้อง ยอมลดค่าความเป็นคนลงไปมากมายเพียงเพื่อให้ได้มาสิ่งที่ ศิลปินใหญ่ส่วนมากเขามีกันจ่างแทบไม่มีแต่กลับมีสิ่งที่ศิลปิน ใหญ่ส่วนมากไม่มีนั่นคือความยากจนความสมถะ..และอหังการ จ่างไม่ยอมขายงานของตัวเองด้วยเหตุผลส่วนตัวที่น้อยคนจะ เข้าใจ .............ในปี พ.ศ. 2528 จ่างสร้าง “หอศิลป กวี จ่าง แซ่ตั้ง“จากบ้าน ชั้นเดียวที่เก่าแสนเก่าโดยบุไม้ฉำฉาไว้ด้านในเพื่อให้พื้นผนังเรียบ พอจะแขวนภาพและบทกวีส่วนนอกบ้านเป็นโครงไม้ปะติดปะต่อ ดูไม่แตกต่างจากโรงเก็บของ ..โดยหวังว่าจะให้คนทั่วไปมาชื่นชม งานศิลปะและบทกวีที่เขาสร้างขึ้นแต่ไม่กี่ปีหอศิลปแห่งนี้ก็ต้องปิด ตัวเองลง.เนื่องจากทนคนที่จ้องแสวงหาผลประโยชน์ไม่ไหวซ้ำยัง ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น..ด้วยฐานะที่คลอนแคลนลง ทุกวันจากที่เคยเขียนภาพสีน้ำมันบนผ้าใบจ่างต้องหันมาเขียน ภาพสีน้ำและสีโปสเตอร์ลงบนกระดาษสุดท้ายเหลือเพียงปากกา ลูกลื่นกับกระดาษที่ใช้สำหรับพิมพ์ดีด .............ทำไมจ่างจึงเขียนภาพเหมือนตัวเองเอาไว้มากมายเช่นนั้น ศิลปินในอดีตแม้จะเขียนภาพเหมือนตัวเองบ้างแต่ก็มีไม่มากนัก โดยเฉพาะศิลปินไทยยังไม่เคยมีผู้ใดเขียนภาพตัวเองเป็นชุดเช่น จ่างถ้าจะวิเคราะห์ในประเด็นนี้ก็จะพบว่าจ่างเริ่มต้นอาชีพด้วย การรับจ้างเขียนภาพเหมือนด้วยผงถ่านมาก่อนจ่างเป็นนักเขียน ภาพเหมือนด้วยผงถ่านยุคแรกๆที่เขียนได้อย่างละเอียดประณีต แม้ลูกค้าของเขาจะนำภาพถ่ายเก่าๆมีขนาดเล็กมากซ้ำร้าย บางภาพหลุดลอกออกเหลือเพียงใบหน้าครึ่งซีกจ่างก็สามารถ เขียนได้เหมือนเป็นที่พึงพอใจแก่ลูกค้าแม้จะมีรายได้ดีเพียงพอ ที่จะเลี้ยงครอบครับได้เขาก็ถึงจุดอิ่มตัวหันมาศึกษาปรัชญา อย่างจริงจังพร้อมกับเขียนภาพและบทกวีตามความพอใจ ของตนการกระทำเช่นนั้นจ่างตระหนักดีว่าความหวังที่จะให้ งานศิลปะและบทกวีที่เขาทุ่มเทชีวิตลงไปกลับมายังผล ช่วยเหลือครอบครัวเขาไม่ให้อดอยากเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตามการพร้อมที่จะเผชิญปัญหาคือการเริ่มต้นที่แท้จริง ของศิลปิน .............นอกจากนี้อาจเป็นไปได้ว่าความยากจนและการศึกษา เพียงชั้นมูล (เตรียมประถม)ซึ่งทำให้เขาถูกดูหมิ่นดูแคลนจาก คนในวงการศิลปะกอปรกับความล้มเหลวในธุรกิจเล็กๆที่เขา หวังว่าจะมาช่วยจุนเจือครอบครัวเพื่อจะได้ทำงานศิลปะได้ อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังเป็นสาเหตุหนึ่งที่ ทำให้เขาหันมาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในบ้านและเริ่มทำงานที่ ตนเองพอใจอย่างเป็นบ้าเป็นหลังหลายครั้งที่ผู้เขียนกลับจาก ทำงานแวะเวียนเข้าไปพูดคุยจ่างจะขนภาพและบทกวีที่เขียนไว้ เป็นปึกใหญ่มาให้ดูและสนทนาถึงคุณค่าของงานแต่ละชิ้นจน บางครั้งผู้เขียนเองก็ยอมรับว่าไม่อาจรับไหวเนื่องจากจำนวน งานมีมากเกินกว่าที่จะให้ดูจบในแต่ละครั้งนับวันจ่างจะยิ่ง เขียนภาพเหมือนตัวเองมากขึ้นๆเขามองหน้าตัวเองจาก กระจกเงาเห็นเรื่องราวต่างๆออกมาโดยใช้ใบหน้าตนเอง เป็นเพียงสัญลักษณ์อย่างหนึ่งเท่านั้นเขาใช้เส้นและสีขีดเขียน ด้วยเทคนิคง่ายๆในเบื้องต้นแล้วค่อยสลับซับซ้อนมากขึ้นกลายเป็น ริ้วรอยของอารมณ์ที่บ่งบอกความเป็นคนของเขาได้อย่างวิจิตรพิศดาร ภาพเหมือนตัวเองของจ่างเป็นการเขียนภาพคนที่พัฒนาไปอย่างไม่มี ขอบเขตจำกัดแม้จะขาดแคลนวัสดุและอุปกรณ์แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรค ในการแสดงคุณค่าทางปัญญาออกมาจ่างสนุกกับการทำงานเพียง ปากกาลูกลื่นและกระดาษโรเนียวจ่างก็สามารถสร้างงานวาดเส้นได้ อย่างงดงามมีชีวิตจิตใจไม่แตกต่างไปจากการวาดภาพสีน้ำมันบนผ้าใบ เขาไม่สนใจว่ารูปแบบของงานจะออกมาเป็นเช่นใดเมื่อลงมือทำเขาจะ ทำต่อเนื่องจนกว่าจะเสร็จสิ้นบางครั้งเขาเขียนภาพถึง 4-5ภาพ ในเวลาเดียวกันแต่น่าแปลกที่รูปแบบของงานเหล่านั้นกลับแตกต่าง กันอย่างไม่น่าเชื่องานที่จ่างสร้างขึ้นมีทั้งแบบเหมือนจริงอิมเพรสซันนิสม์ โฟวิสม์เซอร์เรียลลิสม์จนถึงนามธรรมโดยที่เขาไม่เคยสนใจลัทธิเหล่านี้ เขาทำงานไปตามที่ใจต้องการเท่านั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างซ่อนอยู่ ในงานของเขาหากพิจารณาตามลำดับการสร้างงานเราจะเห็นว่า .............ช่วงแรกระหว่างปีพ.ศ.2512 – 2518จ่างใช้สีน้ำมันสลับกับ หมึกและปากกาเขียนเป็นเส้นและจุดที่ค่อนข้างละเอียดเขียนซ้ำต่อเนื่อง จนเกิดภาพขึ้นโดยไม่มีการ่างเค้าโครงขึ้นมาก่อน (ภาพพ.ศ. 2512) จ่างไม่ใส่ดวงตาในภาพเหมือนของเขาและมีหลายภาพที่จ่างทำ เช่นนี้ดูเหมือนเขาจะเห็นว่าคนที่ไม่มีดวงตาคือผู้ที่บรรลุธรรมแล้ว ไม่จำเป็นต้องมองเห็นหรือรับรู้อะไรอีก (ภาพพ.ศ. 2517 ) ดูเหมือนจะสนับสนุนแนวคิดนี้ภาพเหมือนของเขามีเพียงเส้นรอบ นอกของศีรษะและไหล่กับเส้นผมที่เกิดจากปลายภู่กันกับหมึก แห้งซึ่งตวัดเพียงไม่กี่ครั้งแต่ให้ความรู้สึกอ่อนพลิ้วงดงามอย่างยิ่ง .............ช่วงปีพ.ศ. 2520 – 2527เป็นช่วงที่จ่างใช้สีน้ำมันเขียนภาพ บนผ้าใบไว้มากที่สุดเขาขึงผ้าใบไว้มากที่สุดเขาขึงผ้าใบขนาดเล็กๆ ไว้เป็นสิบๆชิ้นและจะเขียนครั้งเดียวให้เสร็จเป็นชุดๆหรือเขียน ติดต่อกันหลายวันในเนื้อหาและความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ภาพสีน้ำมันของเขามีโทนสีที่ค่อนข้างหนักแลดูมืดและเร้นลับ แสดงพื้นผิวให้เห็นด้วยการป้ายพู่กันอย่างฉับพลันจ่างมักจะสื่อ ความรู้สึกผ่านดวงตาบางครั้งเขาก็เขียนให้ดวงตาแดงก่ำหรือปล่อย ให้ดวงตาว่างเปล่าอีกในช่วงหลังๆเขาใช้สีเพียงไม่กี่สีจับเอา บุคลิกง่ายๆของตัวเองเหลือเส้นไม่กี่เส้นจนกลายเป็นสัญลักษณ์ .............ในช่วงปีพ.ศ. 2528จ่างใช้วิธีแต้มสีลงบนผ้าใบกระจายไปทั่ว ภาพจนเกือบไม่หลงเหลือรูปใบหน้าของตนเองงานชุดนี้แสดงให้เห็นว่า จ่างมีความสามารถในการใช้สีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าศิลปินคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้เขาถูกมองว่าเขียนได้แต่ภาพขาว-ดำภาพคนเหมือนในชุดนี้ ค่อนข้างจะลึกลับน่ากลัวมีพลังอำนาจและอัดแน่นไปด้วยอารมณ์อัน ตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัดอย่างไรก็ตามบางครั้งจ่างก็ผ่อนคลายตัวเอง โดยเขียนภาพเหมือนจริงใบหน้าของเขาแสดงถึงความหยิ่งในศักดิ์ศรี ของความเป็นคนและความจริงจังต่อชีวิตท่ามกลางความผันผวน และเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวโดยจ่างเขียนพื้นหลังอย่าง อิสระแตกต่างกับใบหน้าอย่างสิ้นเชิงช่วงปลายปีพ.ศ. 2528ฐานะการ เงินของจ่างแย่ลงแม้จะมีรายได้จากการเป็นผู้บรรยายในมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์บ้างแต่ก็ไม่เพียงพอที่จะ ทำให้ครอบครัวอยู่อย่างพอกินพอใช้ได้เขาหันมาเขียนสีน้ำมันลงบน กระดาษมากขึ้นการเขียนสีอย่างฉับพลันปรากฏเป็นริ้วรอยของสีที่ สนุกสนานอย่างยิ่งแสดงทักษะอันสูงยิ่งหลายภาพในช่วงนี้เป็นการ ผสมผสานกันระหว่างจิตรกรรมกับบทกวีภาพใบหน้ามีความลึกลับ น่ากลัวยิ่งขึ้นความรู้สึกนี้เห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นในช่วงปีพ.ศ. 2519 จ่างใช้สีน้ำแต้มเป็นจุดเหมือนซ่อนอยู่ในความมืดเงียบและวังเวง ภาพบางภาพดูคล้ายอยู่ในภาวะจิตที่เก็บกดคล้ายงานของ ฟินเซนต์ฟานก๊อกที่เขียนภาพด้วยสีและแสงที่ระยิบระยับพร่าพราย ไปในทิศทางต่างๆจ่างเขียนภาพใบหน้าตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆเสมือน การเดินทางที่นับวันจะลึกเข้าไปในโลกส่วนตัวมากขึ้นทุกทีบางครั้ง เค้าโครงใบหน้าดูเรียบง่ายมีโครงสีที่อ่อนหวานนุ่มนวลแต่บางครั้ง ก็มีความรู้สึกที่แข็งกร้าวดุดันและน่ากลัวคล้ายกับว่าจ่างกำลังหาทางออก อะไรบางอย่างในการทำงานในช่วงปี 2530จ่างกลับมาใช้ปากกาลูกลื่น กับกระดาษวาดเส้นใบหน้าตัวเองอย่างค่อนข้างละเอียดและแผ่วเบา เส้นปากกาม้วนตัวพลิ้วอย่างมีชีวิตชีวาจ่างควบคุมน้ำหนักของเส้นได้อย่าง ยอดเยี่ยมเขาไม่ปล่อยให้ปากกาลูกลื่นปรากฏรอยหมึกที่ปกติจะทะลัก ออกมาเมื่อเขียนนานเข้าเข้าใจว่าเขาจะต้องคอยเช็ดปลายปากกา บ่อยครั้งในการวาดจากภาพใบหน้าที่อวบอ้วนเปล่งประการด้วยอณู ของเส้นที่รวมตัวกันจนเกิดปริมาตรของรูปที่แตกต่างกันออกไปอย่างไม่ หยุดยั้งเช่นนี้ต่อมาได้เริ่มเปลี่ยนแปลงมากขึ้นภาพที่ไร้ดวงตายังปรากฏอยู่ เส้นที่วกวนทำให้ใบหน้าพร่ามัวเหมือนอยู่ในบรรยาศแห่งความฝัน ช่วงปีกว่าก่อนเสียชีวิตขณะที่จ่างล้มเจ็บลงเขาก็ยังคงพยายามเขียนภาพ เหมือนตัวเองอยู่เช่นเดิมทว่าภาพที่ปรากฏดูมีจิตวิญญาณราวกับไม่ใช่ ภาพเหมือนอีกต่อไปใบหน้าดำเกรียมและริ้วรอยที่ยับแข็งเหมือนโลหะตัด กับหนวดเคราและเส้นผมขาวโพลนอันอ่อนนุ่มราวกับปุยนุ่นนั้นกลับแลดู คล้ายใบหน้าของนักบวชผู้เคร่งครัดต่อการเรียนรู้จนบรรลุธรรมสู่ภพใหม่ ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดไป |