..........จ่าง แซ่ตั้ง.. ศิลปินผู้วายชนม์ไปแล้วแต่เขาได้ฝากร่องรอย เรื่องราวของชีวิตให้เล่าขานกันไม่รู้จบ..นอกจากนั้นผลงานของเขา ไม่ว่าจะเป็นกวีนิพนธ์ วาดเส้น และจิตรกรรม...ยังเป็นรูปรอยแห่ง การบันทึกแห่งยุคสมัยให้คนรุ่นหลังได้อ่าน. ชื่นชม .ศึกษา.เสมือน เป็นแบบอย่างทางทัศนศิลป์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อวงการศิลปะ ของบ้านเราแทบจะกล่าวได้อย่างเต็มเสียงว่าจ่าง ..แซ่ตั้งเป็นศิลปิน คนหนึ่งที่ไร้สำนักสังกัด..เขาทำงานศิลปะด้วยความเชื่อและศรัทธา ในพลังแห่งก่ารสร้างสรรค์ทั้งมวล .และเขาก็ไม่พยายามที่ขนขวาย หาแหล่งเกาะเหนี่ยว ...เพื่อที่จะสนับสนุนตัวเองให้รุ่งโรจน์แล่นอยู่ ในวังวนที่ชุลมุนของชุมชนศิลปินอีกด้วย ..........ปูมหลังของอหังการ์ศิลปินคนนี้ .ถูกบันทึกไว้ให้ได้รับรู้ว่า เขามีโอกาสได้เล่าเรียนหนังสือเพียงแค่ชั้นมูล ..จากโรงเรียน เทศบาลสอง ...วัดพิชัยญาติ ...ธนบุรี ..แต่ช่วงนั้นเกิดสงครามโลก ครั้งที่ 2 .เขาเลยต้องออกมาช่วยพ่อแม่ค้าขาย ..จากการหักมุม วิถีชีวิตที่ควรจะเป็นในวัยเด็กที่ไม่มีทางเลือกนี่เอง..ได้ทำให้ เด็กชายจ่าง..เริ่มหัดขีดเขียนในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำในวัยเพียง 9 ขวบ .....พออายุ 10ขวบก็รับแจวเรือจ้างให้คนโดยสารข้ามฝาก แถววัดแจ้งและปากคลองบางหลวงเอาเงินมาซื้อกระดาษดินสอ และสีเพื่อมาเขียนรูป..เบื้องต้นนั้นเขาเริ่มหัดเขียนรูปคนที่ใกล้ชิด ก่อนเช่นพ่อแม่พี่น้อง.การฝึกฝนมุ่งมั่นพยายามหลายขวบปีติดต่อ กันอย่างไม่ลดละ ..........การเรียนรู้ด้วยตนเองบวกกับสถานะภาพของครอบครัว ที่เป็นสามัญต่อสู้ดินรนเพื่อความอยู่รอด..ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้ จ่างมีปูมสำนึก..เนื้อหาเรื่องราวที่จะถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึก ในสิ่งที่เขาเห็นและสัมผัสออกมาได้อย่างพรั่งพรูและด้วยความ ที่เขาไม่เคยผ่านสถาบันการศึกษาศิลปะใดๆมาก่อนจึงทำให้เขา มีอิสระที่จะแสดงออกทางทัศนศิลป์อย่างไม่มีขอบเขตขีดจำกัด รสชาดแห่งการแสดงออกทางสีอารมณ์รูปทรงสามารถสำแดงออก มาได้อย่างใจปรารถนา..ไม่มีถูกไม่มีผิด..เขาเรียนรู้เส้นเอ็นเนื้อหนัง กระดูกทุกส่วนที่เคลื่อนไหวทำงานด้วยการกรำงานด้วยตนเอง ไม่ใช่จากหนังสือ Anatomyเล่มใด ....เส้นสีที่แสดงออกในผลงาน แต่ละชิ้น..ตัวหนังสือที่จารึกอยู่บนหน้ากระดาษแต่ละคำของเขา จึงเต็มไปด้วยชีวิตจิตวิญญาณที่โลดแล่นอย่างมีตัวตน ..........การสำแดงออกอย่าง Expressionism..ที่เห็นอยู่ในผลงานทาง จิตรกรรม.....และวาดเส้นของเขานั้นคือรูปรอยทางอารมณ์และ ตรรกะแห่งหมึกชีวิตของจ่าง.....ที่แลกมันมาด้วยการเดินทางอัน ยาวนาน.....แน่นอนว่ามันไม่ใช่ความละมุนละไมที่ทอดยาวด้วย ลอนหญ้าฟ้าคราม..แต่มันเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อและการถาโถม เรี่ยวแรงของตัวเองลงไป....เพื่อจักได้มาในสิ่งที่ต้องการ..ซึ่งการใช้ แบบอย่างแห่ง Expressionism สำแดงออกมา..ภาพผลงานนั้นจึงเป็น สิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ใช่ความบังเอิญหรือเอาตามอย่างแต่มันคือ ผลึกแห่งปัญญาของเขาเอง..ในขณะเดียวกันกับผลงานทางกวีนิพนธ์ หรืองานเขียนของเขานั้นก็มีรูปทรงทางอักษรที่ตอกย้ำภาพทาง ความคิดหรือจินตนาการต่อสังคมวัฒนธรรมอย่างตรงไปตรงมา หรืออาจจะมีภาพเชิงสัญลักษณ์อยู่บ้างแต่ก็ใช่ว่าจะมีความยากต่อ การตีความ ..........ดังทัศนะต่อการสร้างสรรค์ศิลปะของเขาที่เขียนไว้ในสูจิบัตร แสดงงานศิลปกรรมเยาวชนแห่งประเทศไทยครั้งที่ 2ปี 2528ว่า “…สำหรับผลงานศิลปกรรมภาพเขียน..ฉันก็เขียนถึงปัญญา ส้รางสรรค์ที่เป็นผลงานสร้างสรรค์ที่บริสุทธิ์..สร้างด้วยปัญญา ของตนที่มิใช่ไปลอกเลียนใครแล้วมาอ้างเป็นของตน..และ ศึกษาการดำเนินของการสร้างสรรค์ศิลปกรรมทุกยุคทุกสมัย ว่ามีการสร้างด้วยรูปปัญญามาอย่างไร..รูปแบบลักษณะเรื่องราว ดำเนินกันมาอย่างไรตลอดมาจนถึงยุคปัจจุบัน..ผลงานของฉันที่ สร้างขึ้นมาในยามศึกษาก็ต่างไปอีกอย่างจากยามที่ฉันสร้างงานแล้ว ฉันไม่อยากย้อนกลับไปสร้างงานแนวเดิมหรือรูปแบบซ้ำสองอย่าง ที่เคยมีมา..ฉันหวังสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาเพื่อสร้างเสริมปัญญาของ ตนเองและผู้อื่นแต่ก็เกิดปัญหาถึงคนในชาติของเรานั้น จะมีสักกี่คนที่สามารถรับรู้กันได้..มีคนจำนวนไม่มากเลยที่เข้าใจ เพราะคนในชาติของเขานั้นตกอยู่ในฐานะปากกับท้อง..มากกว่า ที่จะมีโอกาสรู้เรื่องคุณค่า.ปัญญา.แสดงออกของผลงาน ศิลปกรรมและบทกวี...น้อยเหลือเกินที่มีโอกาสสร้างเสริมสมอง ตัวเองให้ดีขึ้นเพื่อคนไร้ปัญญาแล้วทุกอย่างมันก็ลำบาก..ถ้าปัญญา มีเพิ่มพูนขึ้น..ทุกอย่างก็คงเจริญดียิ่งขึ้น..แต่ก็เป็นปัญหาลำบาก ทั้งผู้ไม่รู้..ผู้รู้ไม่จริง..ผู้รู้..และผู้รู้ที่อยากจะบิดเบือน….” ..........จากข้อเขียนข้างต้นของจ่างแซ่ตั้งจะเห็นว่าเขาไม่เพียงแต่ เข้าใจและซาบซึ้งในสิ่งที่ตัวเองแสดงออกมาทางผลงานศิลปะเท่านั้น แต่นอกเหนือและสำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือเข้าใจถึงกระบวนการ ทางสังคมและวัฒนธรรมที่กำลังเป็นอยู่นั้นๆด้วย..สิ่งเหล่านี้เองที่ ทำให้เขาสะท้อนเรื่องราวต่างๆออกมาได้อย่างเข้มข้นเต็มไปด้วย พลังและอำนาจทางศิลปะอันเป็นหลักปัญญาที่เกิดจากการทุ่มเท ตัวเองเข้าไปเรียนรู้อยู่กับมันตลอดชีวิตของการสร้างสรรค์งาน ..........ผลงานภาพเหมือนของตัวเอง (Self Portrait)ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ศิลปินจะเขียนภาพเหมือนตัวเองในวาระสำคัญๆหรือเหตุการณ์ สำคัญๆที่มีผลกระทบต่อความรู้สึกและสภาพแวดล้อมที่ดำรงอยู่ เพราะนั่นหมายถึงสิ่งที่เขา (ศิลปิน)บันทึกลงขณะนั้น..เป็นสภาวะ ความเป็นปัจจุบัน (Moment)ที่ตัวตนของตัวเองมีความรู้สึก..อารมณ์ ต่อเหตุการณ์หรือวาระสำคัญที่เกิดขึ้นและที่สำคัญอีกประเด็นหนึ่ง ก็คือเป็นการประกาศความเป็นตัวตนผ่านรูปตัวแทน..โดยให้ภาพ เหมือนเป็นตัวสื่อบอกกับผู้เสพ.ผ่านอำนาจการบอกเล่าทางสัญญาต่างๆ ที่ศิลปินเขียนกำกับลงไปไม่ว่าจะเป็นเส้นสีรูปทรงของใบหน้าอาการที่ แสดงออก..ภาพเหมือนหนึ่งๆนั้นสามารถที่จะเล่าเรื่องเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นได้อย่างลึกซึ้ง ..........กับภาพเหมือนตัวเองของจ่างแซ่ตั้งก็เช่นเดียวกันซึ่งศิลปิน ได้เขียนภาพของตัวเองในต่างกรรมต่างวาระ..แต่กับจำนวน 400ชิ้น ที่นำออกมาแสดงนั้นถือว่าเป็นจำนวนไม่น้อยที่เราได้บันทึกใบหน้า ของตัวเองเสมือนเป็นสมุดบันทึกเล่มใหญ่ที่ใส่รายละเอียดแห่งตัวตน ของเขาให้ผู้ชมได้อ่านทุกบททุกตอนของชีวิตอย่างไม่ปิดบัง..ที่ กล่าวเช่นนี้เพราะภาพเหมือนของตัวเองของจ่างนั้นจะเขียนใบหน้า ของตัวเองเต็มเฟรมและเผชิญหน้ากับผู้เสพชมอย่างไม่หลีกเลี่ยง ดวงตาและริ้วรอยต่างที่ปรากฎออกมาสามารถส่งลื่อถึงนัยยะของ คำถามคำตอบได้ทุกอาการ ..........ข้อสังเกตประการหนึ่งในภาพเหมือนของตัวเองของเขา ส่วนมากแล้วจ่างจะใช้ดวงตาและแววตาเป็นภาษาบ่งบอกถึงสภาพอาการ ทางอารมณ์ความรู้สึกต่อผู้ชมในช่วงต่างๆ..อย่างเห็นได้ชัด..อย่างช่วงปี 1970-1980 (2513-2523)ดวงตาและใบหน้าจะปรากฎเห็นถึงความ กังวล..สงสัย..เปลือกตาทั้งล่างและบนแสดงให้เห็นถึงภาวะของการ เคร่งคิดในขณะภาพเขียนในช่วงต่อมาหลังจากนั้น..จะเป็นการบ่งบอก ถึงการเผชิญอะไรบางอย่างกับวิถีชีวิตตัวเองเหมือนจะบอกว่า “ฉันไม่เคยหวั่นไหวกับอะไร”ดั่งดวงตาที่ลุกโชนแววตาฉาดฉายถึง ความมุ่งมั่นและท้าทาย..ภาพเกือบทั้งหมดในช่วงนี้ไม่แน่ใจว่าผู้เสพชม จักกล้าจะเผชิญหน้ากับจ่างแซ่ตั้งได้นานแค่ไหน ..........มีความเชื่อมั่นอย่างหนึ่งว่าถ้าจะมีนักศึกษาหรือนัก ประวัติศาสตร์ศิลป์ที่สนใจศึกษาเรื่องราวความสัมพันธ์ของ ภาพเหมือนตัวเองของศิลปินกับความเคลื่อนไหวทางสังคม และวัฒนธรรมในช่วงๆหนึ่งแล้ว..ขอยืนยันว่าผลงานภาพเหมือน ตัวเองของจ่างแซ่ตั้งจะเป็นกุญแจไขไปสู่ประเด็นการศึกษาได้ ในหลายๆกรณี..ไม่ว่าสภาวะทางการเมือง..ความเคลื่อนไหวทาง ศิลปะและเงื่อนไขทางวัฒนธรรมในช่วงนั้นๆด้วย..แต่ทั้งนี้ก็ต้อง ศึกษาบนกวีนิพนธ์ของศิลปินควบคู่ไปด้วย..เพราะคำและ จินตนาการ (Word and Image)ที่มีในภาพและตัวอักษรนั้นต่าง เกื้อกูลสนับสนุนกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ..........จริงๆแล้วผลงานภาพเหมือนตัวเอง(Self Portrait)ของ จ่างแซ่ตั้งก็คือบันทึกตัวเองผ่านรูปแบบทางจิตรกรรมและ วาดเส้นที่เต็มไปด้วยริ้วรอยทางเรื่องราวทั้งส่วนตัวและสังคม วัฒนธรรมที่รายรอบตัวเราและเป็นการประกาศถึงอำนาจแห่ง ตัวตนในความเป็นอหังการ์อีกด้วย |